[FicJE] Samurai Idol ~Edo de Odorou~ サムライアイドル、江戸でおどろう。#2

ผ่านเข้ารอบ… ที่จริงแล้วเขาไม่น่าจะสงสัยตั้งแต่ตอนที่คุณหนูจอมโวยวายกระโดดโลดเต้น ดีใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเองแต่ก็อดที่จะพิจารณารายชื่อบนกระดานประกาศหลายครั้งเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป  และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงต้องรีบมาที่ปราสาทจอห์นนี่ส์ตั้งแต่เช้าตรู่ตามคำเร่งเร้าของคุณหนูซึ่งงอแงตามเขามาด้วยแต่กลับถูกพนักงานหน้าประตูกันไว้ ทำเอาแผนการส่องหนุ่มในปราสาทของนางเป็นอันแตกสลาย

“นี่! เจ้าบื้อ! สู้ๆนะ! ผ่านเข้ารอบให้ได้น้าาาาาา~” เสียงตะโกนโหยหวนของหญิงสาวลอยมาตามลมขณะต่อสู้กับแรงลากของเจ้าหน้าที่เป็นที่ขำขันของหลายๆคน แต่สำหรับซึบาสะแล้ว รู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีจนต้องรีบก้าวเท้าตามชายหนุ่มคนอื่นไปด้วยความรวดเร็ว

 

ความจริงแล้วปราสาทไม่ได้มีรูปทรงตั้งสูงหลายชั้นเหมือนปราสาทเอโดะที่เขาเคยรู้จักแต่มันเป็นอาคารสองชั้นที่ตกแต่งอย่างหรูหรา  และที่เขากำลังยืนเบียดอยู่นั้นคือบริเวณชั้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มหน้าตาดีจากทั่วสารทิศ เสียงจ้อกแจ้กจอแจจึงดังสนั่นไปทั่วโถงทางเดิน ระหว่างที่เขากำลังกลัดป้ายหมายเลขบนอกก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังขี้นใกล้ๆ

“หมอนั่นอ่านใบสมัครถูกไหมเนี่ย”

“แก่ขนาดนี้ยังจะมาอีก ไม่น่าผ่านตั้งแต่ส่งใบสมัครแท้ๆ”

ทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าเพื่อมองหาต้นเสียงก็พบว่าเป็นกลุ่มชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าเขากลุ่มหนึ่ง ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วไม่เหมือนกับคนที่มาเข้ารับการคัดเลือกเลยสักนิด หนึ่งในนั้นยืนกอดอกคุยกับเพื่อนๆรอบกายก่อนจะหันมายิ้มเยาะให้เขาด้วยท่าทีถือดี แล้วจึงเชิดหน้าเดินจากไป

น่าแปลกจริง… เขาคุ้นหน้าคุ้นตาแต่ละคนในกลุ่มเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…

ใช่แล้ว! บนเวทีการแสดงคาบุกิเมื่อสองสามเดือนที่แล้วนี่เอง!

ซึบาสะตกตะลึงกับกิริยาที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของเด็กฝึกกลุ่มนี้ได้ไม่นานนัก เสียงระฆังก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ชายหนุุ่มทั่วบริเวณนั้นเข้าแถวเรียงตามหมายเลขในการสมัคร คณะกรรมการคัดเลือกหลายคนทยอยเดินเข้ามาทำหน้าที่วัดสัดส่วนร่างกายชายหนุ่มทุกคนพร้อมจดบันทึก ซึบาสะมองคนแล้วคนเล่าที่ถูกดึงตัวออกไปเพราะตัวจริงกลับไม่เข้าตาเหมือนรูปที่ส่งมา ชายหนุ่มสูดหายใจลึก พยายามควบคุมสติอย่างยากเย็นขณะที่ก้มหน้ารอการคัดเลือก

“นี่~ พวกท่านจะวัดละเอียดเหมือนคัดเลือกนางในไปหน่อยมั้ง”สุ้มเสียงชวนให้ผู้ฟังรู้สึกหมั่นไส้อยู่นิด ๆ เป็นของชายหนุ่มที่ถัดจากเขาไปไม่กี่คน ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นคนร่างเล็ก ดวงตาเป็นประกายวิบวับ กล่าวยิ้ม ๆ ระหว่างที่ถูกวัดรอบต้นแขน

“เจ้านี่พูดมากจริงๆ !” ผู้คัดเลือกที่กำลังทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งอดหัวเสียกับใบหน้ายียวนกวนประสาทของหนุ่มร่างเล็กไม่ได้

“พวกเรามันก็เป็นผู้ชายกันหมดแหละ ใช่ไหม?” หนุ่มหน้าทะเล้นยังคงพูดลอยหน้าลอยตา จนเผลอสบตากับซึบาสะโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนหันไปพูดต่อกับคนตรงหน้า “หรือพวกท่านสงสัยว่าจะมีผู้หญิงปลอมตัวมา”

“เจ้าทำพูดไป เรื่องแบบนี้มันก็มีแทบทุกปี”

“จริงรึ? แล้วเป็นอย่างไร!?” ไม่ใช่แค่หนุ่มร่างเล็กอีกต่อไปที่สนใจ กลับกลายเป็นทุกคนในที่นั้นเริ่มฮือฮาขึ้นมา

“พอนายท่านจับได้ก็ฉุนใหญ่ ไม่ให้นางเข้าชมการแสดงของคณะประมาณสองสามปีได้” ผู้ทำหน้าที่วัดยังคงกล่าวไปทำงานไป พอทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจถึงความเด็ดขาดในการลงโทษของปราสาทจอห์นนี่ ไม่แปลกเลยที่ผู้สนับสนุนคณะนี้จะมีจำนวนน้อยที่กล้าทำเรื่องผิดกฏ

“ว้า~ น่าเบื่อ ข้านึกว่าพอรู้นายท่านจะลงโทษด้วยวิธี…ที่ต้องทำลับๆเท่านั้น” พอเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของผู้สมัครหนุ่ม ชายอายุมากกว่าก็ใช้กระดานรองเขียนตีเข้าที่หัวเขาด้วยความเหลืออด

“นี่! เจ้าพูดแบบนี้ถ้านายท่านได้ยินล่ะก็อย่าว่าแต่โดนเฉดหัวออกจากปราสาท ยังต้องโดนออกจากเอโดะแน่ๆ!” ชายหนุ่มเริ่มหน้าเสียเมื่อถูกต่อว่าด้วยสีหน้าจริงจังจนน่ากลัว แต่สุดท้ายหลังจบประโยคบ่น คนคัดเลือกก็ได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น  “ถ้าไม่ติดว่าความยืดหยุ่นตัวเจ้าดีมากอย่างที่เขียนไว้ นิสัยเช่นเจ้านี่ข้าตัดชื่อออกไปแล้ว!”

เมื่อละจากชายหนุ่มร่างเล็กมาได้ เป้าหมายต่อไปคือซึบาสะที่กำลังตกอยู่ในความประหม่าจนมือเย็นเฉียบ เขายื่นแขนให้วัดแต่โดยดีโดยไม่คิดจะพูดจามากความแต่อย่างใด

“เจ้า…อายุรุ่นเดียวกับนายท่านเหมือนเจ้าปากมากนั่นเลย” หนึ่งในคนคัดเลือกมองประวัติที่ส่งมาพร้อมขมวดคิ้วแน่น

“คัดออกเลยไหม” พอได้ยินเช่นนี้จิตใจของชายหนุ่มก็แทบจะตกลงไปที่ตาตุ่ม ได้แต่ภาวนาร่ำร้องในใจว่าขอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น  ใจเต้นระรัวขณะที่คนคัดเลือกปรึกษากันไปมาพร้อมมองหน้าเขาไปด้วย

“แต่ดูท่าทางไม่แย่ นายท่านอาจจะชอบก็ได้ ยังไม่ต้องคัดออกหรอก” เมื่อได้ข้อสรุปดังนี้ ซึบาสะก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก รอจนคนคัดเลือกเดินจากไป หนุ่มร่างเล็กรีบเข้ามาคุยด้วยราวกับอัดอั้นตันใจมานาน “รอดเหมือนกันเลย ดีใจด้วยนะ!” ซึบาสะมองใบหน้ายิ้มแย้ม

“อ้อ! ข้าชื่อยาระ โทโมยูกิ ยินดีที่ได้รู้จัก” ไม่ทันไรเขาก็ถูกอีกฝ่ายยื่นมือไปจับเขย่า ๆ  ก่อนส่งคำถามมาให้เขาพร้อมสายตาที่ส่งประกายแห่งความอยากรู้อยากเห็น

“ว่าแต่ผู้หญิงที่มาส่งเจ้าที่ประตูคือใครเหรอ”

“เจ้าเห็นเหรอ?” ซึบาสะเบิกตาโต ด้วยไม่คิดว่าเรื่องน่าอายหน้าประตูจะอยู่ในสายตาผู้อื่นถึงเพียงนี้

“จะไม่เห็นได้อย่างไร นางตะโกนลั่นขนาดนั้น” ยาระเอ่ยถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง คล้ายกับกลัวว่าใครจะได้ยิน “นางเป็นคนรักของเจ้าเหรอ…”

“ไม่ใช่หรอก นางเป็นนายของข้า” ซึบาสะรีบแก้ตัวเป็นการใหญ่ เขาไม่อยากให้ใครก็ตามเข้าใจผิดในเรื่องนี้ นอกจากจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองแล้ว คนถูกกล่าวถึงคงมีผลกระทบไปด้วย

“นางก็คือคุณหนูอันโดที่โรงเตี๊ยมใหญ่” เสียงต่ำไม่คุ้นหูนั้นทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันไปเจอชายหนุ่มร่างสูงที่อ่อนอาวุโสกว่า พอถูกจับจ้องเช่นนี้ เขาก็มีท่าทีวางตัวไม่ถูก “เอ่อ…ขออภัยท่านทั้งสองที่ข้าพูดแทรก”

“ไม่เป็นไร เจ้านี่รู้เรื่องเยอะนะ” นอกจากยาระจะโบกมืออย่างไม่คิดถือสา ยังย้ายความสนใจมาที่เขาอย่างเห็นได้ชัด

“พอดีว่าข้าอยู่ในเอโดะมาได้สักพักแล้วเลยพอรู้เรื่องรู้ราวมาบ้าง” คนหนุ่มยังคงแสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ยามที่ซึบาสะสบแววตาดูสัตย์ซื่อนั้นก็พลันรู้สึกถูกชะตาขึ้นมา “ข้าชื่อนาคายามะ ยูมะ พวกท่านเรียกข้าว่ายูมะก็ได้”

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็เรียกข้าว่าซึบาสะเถอะนะ” ซึบาสะยิ้มรับทุกคน จะว่าไปทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่ดูแล้วไม่มีพิษมีภัยอะไร จะคบเป็นสหายก็นับว่าเป็นเรื่องดี เขาเองตั้งแต่จากบ้านเกิดมาก็ตัวคนเดียวมาตลอด หากสามารถผ่านเข้ารอบแล้วได้ผูกมิตรกันต่อไปเรื่อยๆ คงจะดีไม่น้อย…

“นายท่านทาคิซาวะมาถึงแล้ว” เสียงประกาศดังทั่วห้องเป็นสัญญาณให้ทุกคนกระวีดกระวาดกลับไปเข้าแถวเรียบร้อยดังเดิม ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้างดงามราวหยกสลักที่ปรากฏกายขึ้นนั้นดึงดูดสายตาทุกคนในห้อง ท่ามกลางความเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจ ทาคิซาวะ ฮิเดอากิ ค่อยๆเดินมาจนอยู่ตรงหน้าคณะคัดเลือก ซึ่งผู้เป็นหัวหน้าได้เป็นตัวแทนกล่าวรายงานผล

“นายท่าน พวกเราได้ตรวจสอบอีกรอบแล้ว ข้อมูลทุกอย่างล้วนไม่ผิดพลาด” ซึบาสะนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมทุกคนต้องแสดงอาการพินอบพิเทาจนผิดวิสัยขนาดนี้ เท่าที่เขารู้มา ถึงอย่างไรชายผู้นี้ก็เป็นเพียงหัวหน้าเด็กฝึกเท่านั้น แท้จริงแล้วไม่น่ามีอำนาจขนาดมีส่วนในการคัดเลือก

“ดี มาเริ่มกันเลย” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบ ๆ ก่อนเริ่มเดินไปพลางไล่สายตามองเหล่าเด็กหนุ่มแต่ละแถว แค่เพียงไม่กี่นาที หลายคนก็เป็นอันต้องคอตกกลับบ้าน ไล่มาจนกระทั่งหยุดที่ยูมะผู้กำลังยิ้มน้อย ๆ รอคอยคำตัดสิน

“หน้าตาไม่ถูกชะตาข้า ไม่ควรผ่าน” น้ำเสียงเย็นชาคล้ายไม่สนใจไยดีสิ่งใดของนายท่านทาคิซาวะแทบทำให้ยูมะตกใจล้มลงไปตรงนั้น  คำพูดที่ได้ยินจากปากทำให้ซึบาสะถอนใจออกมาด้วยนึกเสียดาย เป็นเหตุให้คนที่กำลังตัดสินหยุดชะงักขึ้นมา

“เจ้าชื่ออะไร”

“อิมะอิ ซึบาสะขอรับ” ซึบาสะหลุบตาลง เนื้อตัวพลันเย็นเฉียบ รู้สึกราวกับตัวเองทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงไป

“เมื่อครู่ถอนหายใจทำไม” เมื่ออีกฝ่ายถาม ซึบาสะก็ตอบไปตามที่ตนเองคิด

“ข้าคิดว่าท่านไม่ควรตัดสินเขาด้วยรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว…รอบถัดไปท่านอาจเสียดายที่เขามีความสามารถเกินกว่าที่ท่านนึกถึงก็ได้”

“ในวงการนี้ถึงอย่างไรหน้าตาก็เป็นส่วนสำคัญอันดับหนึ่ง” ทาคิซาวะมองร่างสูงกว่าที่ยังคงยืนนิ่ง

“เจ้าพูดเหมือนตัวเองจะได้ผ่านเข้ารอบ” โดยไม่ทันตั้งตัว แขนเสื้อซึบาสะก็ถูกถลกขึ้นโดยชายหนุ่มสูงศักดิ์ เผยให้เห็นผิวคร้ามแดดที่ไม่น่าดูนัก

“ผิวกายหยาบกร้าน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนเอโดะ” ไม่เพียงเท่านี้ยังใช้พัดที่ถือไว้เชยคางขึ้นเพื่อพิจารณาใบหน้าคมที่ไม่ได้เกลี้ยงเกลา

“ดูจากหน้าตาเจ้าไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ”

“แต่หัวใจข้ายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่นะขอรับ!”

“…” เกิดความนิ่งอึ้งไปทั่วบริเวณก่อนตามมาด้วยทุกคนต่างก็กลั้นหัวเราะด้วยความยากเย็น ยกเว้นแต่เพียงคนสองคนที่สบตากันอย่างท้าทาย ซึบาสะที่เผลอลั่นวาจาไปอย่างไม่เกรงกลัวสร้างความประหลาดใจให้คนตรงหน้าอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็ถึงกับทำให้เขากล่าวอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง

“ข้าจะรอดูตามที่เจ้าว่า” ผู้มีอำนาจเหนือกว่าสะบัดข้อมือเอาพัดออกจากคางอีกคนก่อนจะเหลียวมองด้วยแววตายากคาดเดาแวบหนึ่งก่อนก้าวเดินต่อไป

ซึบาสะเห็นยูมะส่งสายตาขอบคุณมาให้ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไม่ไร้ค่าเสียทีเดียว

“ต่อไปเป็นรอบแสดงความสามารถพิเศษ” หลังจากพักกันได้ไม่นานก็เข้าสู่การคัดเลือกรอบสุดท้าย ซึบาสะยิ่งคิดเรื่องที่ตัวเองเพิ่งก่อก็ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าหนึ่งในกรรมการที่มองมายังเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความจริงตอนที่กรรมการไล่ทุกคนที่เข้ารอบไปเปลี่ยนเป็นชุดที่เคลื่อนไหวสะดวก เขาก็เกือบจะหนีไปแล้วแต่โชคดีที่ยาระกับยูมะต่างก็รั้งเขาไว้สุดความสามารถ เขาจึงได้มายืนที่นี่อีกครั้ง

“หมายเลข 283 เจ้าเคยทำอะไรมาบ้าง” คณะกรรมการถามชายหนุ่มที่ยืนตรงกลางโถง ทำให้เขาพยายามนึกงานที่เขาทำมาทั้งชีวิตแล้วตอบออกไป

“ข้าน่ะเหรอ ข้าก็ช่วยที่บ้านดำนาเกี่ยวข้าว ดูแลการขนส่งผลผลิต แล้วก็เคยเป็นผู้ช่วยคนครัว…”

“ไม่ใช่! ข้าหมายถึงประสบการณ์ด้านการแสดง!”

“แหะๆ ไม่มีขอรับ…” ซึบาสะหัวเราะเจื่อน ๆ แอบเห็นนายท่านทาคิซาวะส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายก็รีบกล่าวต่อ

“เอ่อ…อันที่จริงข้าก็พอเต้นเป็นอยู่บ้าง!” เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทีท่าของบรรดาผู้ตัดสินก็เปลี่ยนไป

“ไหนเจ้าลองเต้นให้พวกข้าดูหน่อย” เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้นก่อนที่ซึบาสะจะหมุนตัวรอบหนึ่งแล้วเริ่มการแสดง ท่วงทำนองกับตัวเขาราวกับประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนว่ารอบกายไม่มีสิ่งใดอื่นอีก ดำดิ่งไปกับอารมณ์จนกระทั่งจบเพลง เรียกเสียงปรบมือให้กับคนที่เห็น

“เจ้าไปเรียนการเต้นแบบนี้มาจากไหน” ทาคิซาวะเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

“ตอนข้าเด็กๆ เคยมีมหรสพคนต่างชาติมาเปิดการแสดง ข้าสนใจก็เลยได้ลองฝึกกับพวกเขา” ซึบาสะตอบ แม้ไม่อยากจะมองหน้าเขาตรง ๆ แต่สายตาสงสัยของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อาจหลบได้ เขาไม่ชอบการมองของชายผู้นี้เลยแม้แต่นิด ก็เพราะตัวเขาไม่สามารถคาดการณ์สิ่งใดภายใต้ดวงตาสีนิลนั้นได้เลย…

เมื่อเห็นว่าจะครบเวลาแล้ว กรรมการคนอื่นก็รีบตัดบท

“ดีมาก เจ้าไปได้” พอออกมาได้ ซึบาสะก็รู้สึกเรี่ยวแรงจะหมด ไม่ใช่เพราะเกิดจากการเต้น หนักแต่อย่างใด หากแต่เกิดจากพลังงานบางอย่างจากนายท่านทาคิซาวะที่เหมือนจะทำลายความมั่นใจเขาไปเสียหมด

“สุดยอดมากจริงๆ!” ยาระวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น “ข้าเห็นแล้วประทับใจมาก วันหลังเจ้าสอนข้าเต้นแบบนั้นหน่อยสิ”

“พวกเจ้าต่างหากที่เต้นได้เก่งกว่าข้านัก ข้ามันก็แค่พวกครูพักลักจำเท่านั้นเอง” ซึบาสะเกาหัวแก้เขิน ทำตัวไม่ค่อยถูกเมื่อมีคนเอ่ยชมในเรื่องที่เขาเองก็ไม่เคยภูมิใจกับมันมาก่อน

“ไม่หรอก ๆ ! ระดับท่านน่ะไม่ธรรมดาเลย!” ยูมะเข้าร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้มอีกคน

“พวกเราไปนั่งรอกันก่อนเถิด” ซึบาสะชวนทุกคนให้ออกไปจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุดเพื่อจะหามุมเงียบ ๆ ให้ตัวเองได้ผ่อนคลายสักหน่อยและให้ลืมคนที่ชวนให้หวาดหวั่นผู้นั้นด้วย…

 

ผ่านไปหลายชั่วยามทีเดียวกว่าที่จะมีคนมาประกาศผล ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นซึบาสะก็กินขนมจากโรงครัวไปหลายชิ้นจนอิ่มแปล้ พอรีบวิ่งกลับมานั่งเมื่อได้ยินว่าจะประกาศผลแล้วก็รู้สึกจุกนิด ๆ

“เอาล่ะ ต่อไปจะเป็นการประกาศคนเข้ารอบสุดท้าย ใครที่ถูกขานชื่อให้ก้าวออกมาข้างหน้า ส่วนที่เหลือกลับบ้านได้ หมายเลข 032…” หมายเลขถูกขานไปเรื่อย ๆ จนมาถึงสหายใหม่ทั้งสองที่ผ่านเข้ารอบอย่างราบรื่น ซึบาสะก็ดีใจแทน แต่พอใกล้จบแล้วยังไม่มีหมายเลขตัวเองในนั้นก็ยิ่งเครียดมากขึ้น คิดแล้วเขาก็แปลกใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่อยากมาแต่ตอนนี้กลับไม่อยากไป เป็นเพราะอะไรตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“283”

“หา? ข้า? ข้าเหรอ? เย้~~” ซึบาสะกระโดดตัวลอยแล้วรีบวิ่งออกไปกอดทั้งยาระและยูมะข้างหน้าโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ จนคนประกาศต้องกระแอมเป็นสัญญาณเตือน

“ขออภัยขอรับ ข้าลืมตัวไปหน่อย” ซึบาสะโค้งตัวเป็นเชิงขอโทษขอโพยก่อนหันไปยิ้มกับทั้งสองคนต่อ เมื่อให้ทุกคนที่ไม่ผ่านกลับหมดแล้ว คนประกาศก็หันมาบอกคนที่เหลือ

“พวกเจ้าที่ผ่านเข้ารอบ พรุ่งนี้ก็จัดการเตรียมข้าวของมาอยู่ที่นี่”

“ว่าแต่นายท่านทาคิซาวะล่ะท่าน” ยาระถามขึ้นมาหลังมองไปรอบ ๆ ตัว “ที่จริงข้าไม่เห็นนายท่านเลยตั้งแต่จบคัดเลือก”

“กลับไปแล้วล่ะ งานนายท่านรัดตัวมาก แค่สละเวลามาคัดเลือกพวกเจ้าก็ลำบากมากแล้ว” คนที่ถูกถามตอบสั้น ๆ ส่วนซึบาสะไม่คิดจะพูดอะไรต่อ สำหรับเขาจะอย่างไรก็ช่าง ขอแค่ได้ทำตามที่ตัวเองต้องการ ได้ช่วยที่บ้านให้อยู่ดีกินดีก็พอ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับคนใหญ่โตกับนายท่านทาคิซาวะจะเป็นการดีที่สุด…

[Ficแก้บน] Kodomotsukai : Kuroneko to Troublemaker

images (93)

[Ficแก้บน] Kodomotsukai : Kuroneko to Troublemaker (แมวดำกับผู้ก่อความยุ่งยาก)
*ฟิคนี้สปอยล์เนื้อหาของหนังบางส่วน และค่อนข้างเป็นงานเผา ขออภัยผู้อ่านทุกคนด้วยค่ะ 😂

ぼぉあんがー ぼぉあんがー
すてぷらい すてぷらい
カンクローさん カンクローさん
おいない おいない
かみのごサーカス おいないよ
あめじんトミーのしょうたいは…

ยามบ่ายแก่วันหนึ่งในโรงละครเก่าๆ ท่ามกลางเสียงร้องเพลงประสานกันของบรรดาวิญญาณเด็กหลายตนที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เจ้าแมวเหมียวสีดำที่นอนขดตัวอยู่ริมหน้าต่างค่อยๆปรือตาขึ้นหลังเพิ่งออกจากห้วงนิทราอันยาวนาน
…น่าแปลก…
ดวงตาวาววับฉายแววฉงนเมื่อสอดส่องไปรอบตัวแล้วไม่พบกับ’สิ่ง’ที่กำลังตามหา
…ไปไหนของเขานะ…
“นี่! ทุกคน ดูซิว่าฉันพาใครมาด้วย!” เสียงดังกังวานนั้นเรียกความสนใจให้ทั้งหมดในห้องหันไปมอง ร่างที่ปรากฏนั้นคือชายหนุ่มใบหน้าขาวซีดทว่าชวนมองในชุดคณะละครสัตว์ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างจ้าดูลึกลับขัดกับประกายในแววตาระยิบระยับราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่ มือที่สวมถุงมือสีขาวทั้งสองข้างนั้นวางบนบ่าของเด็กหญิงตัวเล็กผมยาวสวมที่คาดผมสีขาวคนหนึ่ง
…เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
แมวดำที่ถูกผูกโบว์สีแดงที่คอกระโดดลงมา ค่อยๆย่างเท้าไปรอบร่างบอบบางที่มีท่าทีประหม่า แล้วเริ่มดมกลิ่นเพื่อจับพิรุธ
“เจ้าแมวดำ ทำอะไรแบบนั้นเดี๋ยวเธอก็ตกใจหมด”
ฉันต่างหากล่ะที่ตกใจ! ถ้าพูดได้มันก็อยากตอบกลับไปเช่นนี้ ขณะที่ชายหนุ่มอุ้มมันใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างทุลักทุเลจนมันโผล่มาได้แค่หัว
“เอาล่ะ ทุกคนช่วยพาเพื่อนใหม่ไปเล่นด้วยกันนะ!” ชายหนุ่มกระโดดไปมาด้วยท่าทางดีอกดีใจช่างไม่เข้ากับเครื่องแต่งกายที่ใช้โทนสีมืดๆเลยแม้แต่น้อย
“เย้~ เล่นเป็นอะไรดีนะ คุณหมอดีไหม~” ไม่ทันที่เด็กหญิงจะพูดอะไร ชายหนุ่มก็กระชากหางแมวดำอย่างแรงจนเจ้าแมวเผลอร้องแง้วด้วยความเจ็บปวด มิหนำซ้ำยังใช้พลังวิเศษเหวี่ยงมันจนกลายร่างเป็นหูฟังทางการแพทย์ที่หุ้มด้วยขนนุ่มๆ
“ขอฟังเสียงหัวใจหน่อย~” นอกจากตุ๊กตาปีศาจจำแลงจะไม่ได้สนใจว่าเจ้าแมวกำลังนึกโมโหเขามากแค่ไหนเลยแม้แต่น้อย ยังเล่นบทบาทสมมุติเป็นหมอด้วยท่าทีตลกเสียจนทำให้เด็กหญิงผู้มาเยือนหลุดยิ้มออกมา
“โอ๊ะ! อยากเล่นสนุกมากกว่านี้ใช่ไหม ได้เล้ย!”
เพียงแค่ทาบเครื่องมือลงบนอกของเด็กน้อยก็สามารถฟังเสียงในใจของเธอได้ แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เธอรอนาน เขาพร้อมมอบความสนุกสนานให้เด็กๆตลอดเวลานั่นแหละ ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเหวี่ยงเจ้าแมวไปเป็นไม้เท้าประกอบการเล่นมายากลสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็กหญิงเป็นอย่างยิ่ง เสียงหัวเราะชอบใจของเหล่าเด็กหญิงชายดังขึ้นเป็นระยะๆ ประเดี๋ยวเดียว ชายหนุ่มก็ใช้มนต์เปลี่ยนมันไปเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ตามแต่จะพอใจโดยที่เจ้าเหมียวผู้โชคร้ายได้แต่คิดว่าถ้าเอาคืนได้เมื่อไหร่จะไม่ปล่อยเขาไว้แน่!

….
ในที่สุดยามราตรีก็มาเยือน วิญญาณเด็กทุกตนรวมไปถึงเด็กหญิงผู้มาใหม่ที่พากันเล่นทั้งวันต่างก็ผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน พอเห็นว่าไม่น่าจะมีใครมาวุ่นวายได้แล้ว เจ้าแมวดำก็ได้เวลาแปลงร่างเป็นอีกร่างหนึ่งที่ถูกสาปให้ออกมาได้เพียงเวลากลางคืนเท่านั้น
“หนอย! นายนี่มันจริงๆนะ! วันนี้เล่นซะฉันเวียนหัวไปหมด!” ชายหนุ่มผมสั้นสีดำในเชิ้ตขาวที่มีสภาพแปลกตาด้วยหูแมวและหางแมวสาวเท้าเข้ามากระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าทะเล้นที่นั่งเอนตัวบนเก้าอี้โยกไปมา แต่ถึงอย่างนั้นการจ้องแบบจะกินเลือดกินเนื้อของเขาไม่ได้ทำให้ตัวสร้างเรื่องหวาดกลัวสักนิด
“เบาๆหน่อยสิ เด็กๆหลับอยู่นะ~” ชายหนุ่มในชุดพะรุงพะรังยิ้มหน้าระรื่น ดูแล้วเหมือนดีใจมากกว่าที่ตัวเองยั่วโมโหอีกฝ่ายได้
“เฮอะ! นี่สถานเบาแล้ว!” แมวดำในร่างจำแลงผละมือออกแล้วกลับมายืนกอดอกมองปีศาจติงต๊องที่ทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น
“อีกอย่าง ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เด็กคนนั้นกลิ่นอายคล้ายกับนาโอมิมาก เธอเป็นใครมาจากไหน”
“จะไม่ให้คล้ายได้ยังไง ก็เธอเป็นลูกสาวของนาโอมินี่นา”
“หา?!! แล้วนายก็พาเธอมาที่นี่เนี่ยนะ!” หนุ่มหูแมวอดหลุดปากร้องออกมาด้วยความตกใจไม่ได้
“เพราะเธอเอานิ้วก้อยให้นาโอมิไปน่ะสิ” เจ้าหนุ่มหน้าเป็นยังคงทำหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่คำพูดกลับเลือดเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ “ว้า~ อีกไม่กี่วันนาโอมิก็ตายแล้ว คราวนี้หวังว่าคงไม่มีคนมาขัดขวางฉันอีก”
“พอทีเถอะน่า!” หนุ่มแมวดำหมดความอดทนอีกต่อไป “นายเลิกยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวนั้นสักทีได้ไหม!”
“นายยังไม่ได้เห็นแผลบนตัวเธอ!” น้ำเสียงสบายๆแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดในบัดดล นั่นทำให้คู่สนทนาเงียบเสียงไป “ฉันไม่ควรปล่อยนาโอมิไปตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ!”
ใช่ จริงอย่างที่เจ้าตุ๊กตาของทอมมี่พูด
หมอนั่นไม่น่าปล่อยนาโอมิไปเลยทั้งๆที่รู้ว่าสักวันนาโอมิอาจทำร้ายลูกตัวเองเหมือนที่ตัวเองเคยโดนแม่ทำร้าย
นั่นอาจจะเป็นเพราะหมอนั่นรู้สึก’พิเศษ’กับนาโอมิก็เป็นได้
แล้วทำไมพอเขาเห็นแววตารวดร้าวของชายเจ้าของผ้าคลุมสีดำถึงต้องรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาด้วยนะ…
ตึก…ตึก…
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาก่อนที่ร่างเล็กน่าทะนุถนอมจะโผล่ออกมาจากริมประตู แล้วค่อยๆก้าวมาใกล้หนุ่มในชุดคณะละครสัตว์ที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาโอบไหล่เธออย่างนุ่มนวล
“คือเมื่อกี้หนูนอนไปได้นิดเดียวแล้วก็หลับไม่ลงแล้วน่ะค่ะ…” เด็กหญิงเอ่ยเสียงแผ่ว แต่แล้วเมื่อพิจารณาชายหนุ่มผมดำ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นงุนงงระคนแปลกใจ “เอ๊ะ! พี่หูแมวคนนี้คือใคร ไม่เคยเห็นเลย”
“เพื่อนคนใหม่ของเธอไงล่ะ ดูสิ พี่เขามีหางด้วยนะ!” ชายหนุ่มผมยาวชี้ให้เด็กหญิงเห็นหางสีดำที่สะบัดไปมาด้านหลังหนุ่มร่างบาง
“เอ๊ะ!?” เด็กหญิงตกใจกับหางของเขา เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การที่จู่ๆหนุ่มสุดเพี้ยนจะมากระตุกหางเขาเล่นจนเขาสะดุ้งโหยงด้วยความเจ็บปวดนี่ชวนให้มีน้ำโหจริงๆ!
“ฮิฮิฮิ” เจ้าตุ๊กตาหัวเราะชอบใจเมื่อถูกอีกฝ่ายมองค้อนใส่ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์รุนแรง แต่ก็ตัดบทด้วยการหันไปใส่ใจกับเด็กหญิงแทน
“งั้นคืนนี้เราไปสนุกกันดีกว่า!” ว่าแล้วชายหนุ่มก็สะบัดผ้าคลุมบนร่างเด็กหญิงและหนุ่มหูแมวพาทั้งหมดไปยังงานเต้นรำในลานใหญ่ของงานเทศกาลแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย คนต้นเรื่องไม่รอช้าเสกเครื่องแต่งกายเด็กหญิงให้เป็นชุดกระโปรงพลิ้วไหวแสนน่ารัก ในส่วนของเจ้าแมวหนุ่มนั้นเพิ่มเสื้อกั๊กกับโบว์หูกระต่ายสีแดงให้ดูเรียบร้อยขึ้นหน่อย
เสียงบรรเลงดนตรีไปในจังหวะไม่เร็วไม่ช้า ออกไปทางสนุกสนานซึ่งทำให้เด็กหญิงเข้าร่วมการเต้นรำทั้งสีหน้าเบิกบาน
“ทำอะไรของนาย!” หนุ่มหูแมวได้ทีก็บ่น หลังจากที่เด็กหญิงได้คู่เต้นใหม่ ตุ๊กตาจอมจุ้นก็ลากเขาไปเป็นคู่เต้นด้วยเสียอย่างนั้น
“ก็เต้นไง! ฉันว่านายก็น่าจะชอบนะ!” ชายหนุ่มจับมือเขาชวนเต้นยึกๆยักๆซึ่งสำหรับเขาแล้วดูไม่ได้เรื่องเลยสักนิด
“ฉันเคยบอกที่ไหนกันว่าชอบ!” ปากพูดไปอย่างนั้นแต่ร่างกายดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวไปกับเสียงเพลงเสียแล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนท่วงทำนองไปแค่ไหน เขาก็สามารถเปลี่ยนท่าไปตามนั้นได้ สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาเป็นคนนำอีกฝ่ายให้เคลื่อนไหวจนกระทั่งกลายเป็นจุดสนใจของงานนี้ไปจนได้
“แต่ฉันไม่เห็นนายจะหยุดเต้นเลยนี่” น้ำเสียงขี้เล่นที่ทะลุออกมานั้นสร้างความรำคาญนิดๆขณะที่เขาดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี
“หนวกหูน่า!” เสียงปรบมือเกรียวกราวหลังจบเพลงเรียกสติให้หนุ่มหูแมวรู้ตัวหยุดยืนนิ่ง เมื่อมองเห็นสีหน้าชื่นชมของแต่ละคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กหญิงผมยาวผู้เป็นดั่งเจ้าหญิงในคืนนี้ก็ปรบมือให้เขาด้วยความตื่นเต้นทำเอาเขาหน้าแดงไปหมด ทว่าสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกประหม่าจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเห็นจะเป็นเพราะมือเรียวที่กำลังลูบหูทั้งสองข้างของเขาพร้อมสายตาอ่อนโยน รอยยิ้มไร้เดียงสาแสนเจิดจ้าเป็นเหตุให้จิตใจของเขายิ่งปั่นป่วนสับสน
“น่ารัก~” เขาล่ะเกลียดตัวเองที่เผลอทำหน้าเหลอหลาไปเสียเหลือเกิน ด้วยความลนลานทำอะไรไม่ถูกเลยตัดสินใจเหยียบเท้าคนตรงหน้าอย่างแรงเป็นการแก้เก้อแล้วรีบคว้ามือเด็กหญิงไปเดินดูส่วนอื่นของงานต่อ แน่นอนว่าไม่อยากจะรับรู้ถึงเสียงร้องโอดครวญงอแงที่ดังมาจากด้านหลังซึ่งพาให้ทุกคนหัวเราะครืนไปทั่วบริเวณ


“เธอหลับแล้วเหรอ” หนุ่มแมวดำล้มตัวลงนอนข้างๆเด็กหญิงที่หลับไปอีกครั้ง กระซิบถามเจ้าตุ๊กตาผีที่นอนประกบเธอจากอีกฝั่ง
“อื้ม เรียบร้อยแล้วล่ะ” ชายหนุ่มหน้าขาวแย้มยิ้มขณะลูบไปตามเรือนผมของเด็กน้อยตรงกลางด้วยความเอ็นดู ก่อนค่อยๆหลับตาลงตาม
“นี่ฟังนะ…ฉันไม่อยากให้นายไปฆ่าใครอีก…เรื่องมันจบไปแล้วก็ให้มันจบไปเถอะ นายไม่สงสารเด็กคนนี้เหรอ ถ้านาโอมิเป็นอะไรไปเธอจะอยู่ยังไง…” เมื่อได้ยินเสียงหายใจแรงของตุ๊กตาจำแลงเจ้าปัญหาแทนเสียงตอบรับ พ่อหนุ่มแมวดำจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“เฮ้อ…เหมือนเด็กจริงๆเลย” เขาพึมพำขณะบรรจงห่มผ้าลงบนร่างของหนุ่มเอาแต่ใจที่มักสร้างเรื่องหนักใจให้เขาไม่หยุดหย่อน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นท่าทางสิ้นฤทธิ์ยามหลับใหลนั้นก็ทำให้เขาโกรธไม่ลง ทำไมกันนะ เขาถึงต้องยอมให้กับหมอนี่อยู่เรื่อย…


ครบกำหนดสามวันพอดีที่เจ้าตุ๊กตาของทอมมี่จะต้องไปตามเอาชีวิตนาโอมิตามที่ทำสัญญากับผู้เป็นลูกสาว
“นี่~วันนี้ฉันจะไปพาแม่เธอมาที่นี่เพื่อร่ำลากันนะ เธอพร้อมหรือยัง?” แมวดำที่ตอนนี้เกาะไหล่ชายหนุ่มอยู่มองหน้าเขาสลับกับเด็กหญิงไปมา ถึงชายหนุ่มจะพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงมันก็รู้ว่าเขาคงรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย เด็กหญิงล้วงนิ้วก้อยออกมาแล้วมองมันอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะส่งคืนมันให้หนุ่มผ้าคลุมดำพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “มาคิดดูแล้วถึงยังไงหนูก็ทำแบบนี้กับแม่ไม่ได้หรอกค่ะ อ้ะ! หนูคืนให้คุณแล้วกัน”
“อะไรกัน~ อยู่กับฉันไม่สนุกหรือไงกัน~” ชายหนุ่มทำทีกระทืบเท้าไปมาแล้วทำปากเป็ดให้เด็กหญิงเข้าใจว่าเขางอนอยู่
“สนุกนะคะ…แต่หนูก็คิดถึงแม่ แล้วก็ไม่อยากให้แม่หายไปอยู่ดี” เด็กหญิงหลุบตาลง คล้ายกับกำลังนึกไตร่ตรองกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
“ก็ได้ๆ ฉันจะพาเธอไปส่ง งั้นแลกกับหอมแก้มฉันทีนึงนะ!” ชายหนุ่มย่อลงตรงหน้าเด็กหญิงแล้วเตะนิ้วตรงแก้มตัวเองเป็นสัญญาณให้เธอทำตามที่เขาบอก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอนั้นแต่อย่างใด ในชั่วขณะนั้นเองเจ้าตุ๊กตาที่มักทำอะไรทะเล้นอยู่เป็นนิจก็ดึงตัวเธอเข้ามากอด เจ้าแมวดำสังเกตเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาสีฟ้าอันงดงาม ความเหงาปนเศร้าสะท้อนออกมาจนน่าสงสารจับใจ ใครกันจะรู้ว่าเจ้าตุ๊กตาปีศาจจะมีมุมนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน…

 

“หนูสัญญาว่าจะไม่ลืมทุกคนเลยค่ะ” ร่างเล็กบอบบางนั้นให้คำมั่นก่อนหันไปเคาะประตูหน้าห้องพักที่ตัวเองอาศัยกับครอบครัว ทันทีที่หญิงสาวผมสั้นเปิดประตูออกมาเห็นลูกสาวก็ร้องออกมาด้วยความยินดี สวมกอดแนบแน่นราวกับไม่อยากให้เด็กหญิงหายไปจากตนอีก ผู้เป็นสามีเองก็รีบเข้ามาหาลูกแล้วสวมกอดพร้อมน้ำตาแห่งความดีใจด้วยอีกคน
“เมี้ยว~” จะไม่ไปหานาโอมิสักหน่อยเหรอ… แมวดำส่งสายตาสงสัยเป็นคำถามให้ชายหนุ่มที่แอบมองภาพความประทับใจจากมุมไกล
“เชอะ! ใครจะอยากไป” ชายหนุ่มเบ้ปาก “ไปหาเด็กคนอื่นดีกว่า น่าสนุกกว่าเยอะ~”
ถ้ากล้าไปหาสุ่มสี่สุ่มห้ามาอีกล่ะก็จะข่วนซะให้หน้าเละเลย! แมวดำกางกรงเล็บเตรียมจะข่วน ดวงตาสีเหลืองวับวาวจ้องเจ้าตุ๊กตาผีอย่างจริงจัง
“อะไร? อยากเก็บฉันไว้คนเดียวหรือไงฮะ”
บ้า! พูดอะไรของนายฮะ! เจ้าตุ๊กตาเสียกบาลเอ๊ย! เจ้าแมวมองอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก พอใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้ แมวดำก็ตะปบเข้าที่หน้านั้นอย่างจังแล้ววิ่งหนีออกไปด้วยความเขิน ไม่สนเสียงง้องแง้งของชายหนุ่มในชุดรุงรังที่เร่งฝีเท้าไล่ตามไป
“เฮ้ย! จะไปไหนน่ะเจ้าแมวดำ มานี่ก่อน~!”

[FicJE] Samurai Idol ~Edo de Odorou~ サムライアイドル、江戸でおどろう。#1

‘เอโดะ’ ช่างราวกับภาพฝัน…
ชายหนุ่มเจ้าของผมสั้นสีดำสนิทกวาดดวงตาเป็นประกายไปรอบๆ ทั้งฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่ ทั้งร้านรวงมากมายที่ตั้งอยู่เรียงรายตลอดแนว บรรยากาศคึกคักนั้นแตกต่างจากบ้านเกิดของเขาเสียเหลือเกินจนเขาเผลอหยุดยืนนิ่งด้วยความตื่นตะลึงไม่ได้
ตั้งแต่จำความได้ ‘อิมะอิ ซึบาสะ’ ไม่เคยได้เดินทางไกลบ้าน ถ้าไม่เพราะว่าพายุเข้าทำให้เรือกสวนไร่นาที่บ้านเสียหายจนต้องระหกระเหินมาหางานใหม่ หนุ่มบ้านนอกอย่างเขาคงไม่อาจมาเหยียบที่นี่ได้เป็นแน่แท้
“อย่ายืนขวางทางสิพ่อหนุ่ม!”
เสียงตะโกนดังลั่นนั้นทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ รีบเบนตัวหนีรถเข็นที่บรรทุกผักเต็มอัตรา
“อ๊ะ! ขอโทษขอรับ” คนลนลานได้แต่ผงกหัวให้เป็นเชิงสำนึกผิด ระหว่างที่กำลังเดินไปพลางคิดว่าจะเริ่มตามหาสถานที่ที่เขาพอจะทำงานได้ในเอโดะตามที่ได้วางแผนไว้ จู่ๆ เสียงรัวกลองไทโกะดังขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย คล้ายเป็นสัญญาณให้เหล่าเด็กสาวพากันกรูเข้ามาจนชนเข้ากับเขาอย่างจังจนแทบเซล้มลงกับพื้น คนเดินถนนต่างหลีกทางให้กับขบวนแห่บางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ความสวยงามเป็นเอกลักษณ์นั้นอยู่ในขั้นเรียกว่างานเทศกาลขนาดย่อมก็ว่าได้
“พี่ชาย ไม่ทราบว่าเขามีอะไรกันเหรอ” ด้วยความสงสัยทำให้เขาตัดสินใจถามชายที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด คนสูงอายุกว่าพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนลงความเห็นพร้อมใบหน้าครุ่นคิด
“เจ้าคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ อีกไม่กี่วันจะมีการแสดงคาบุกิของนายท่านทาคิซาวะก็เลยมีการแสดงเล็กน้อยเป็นการโฆษณา”
คาบุกิ? คงจะเป็นงานของคนในปราสาทจอห์นนี่…
เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าผู้คนในเอโดะนิยมคณะการแสดงชายล้วนอันโด่งดังนี้อยู่ไม่น้อย หากแต่ไม่คาดคิดว่าแค่แนะนำการแสดงต้องจัดเสียใหญ่โตยิ่งกว่าต้อนรับเจ้าเมือง นายท่านทาคิซาวะคนนี้เป็นใครถือดีมาจากไหนกัน
“แล้วในนี้ใครคือนายท่านทาคิซาวะเหรอ?” ซึบาสะพยายามชะโงกหาคนที่คู่สนทนากล่าวถึงในหมู่เด็กหนุ่มที่กำลังร่ายรำสร้างความสนุกสนานให้ผู้คนทั้งสองข้างทางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“คนพวกนี้ล้วนไม่ใช่เขา ระดับนายท่านผู้สูงศักดิ์มีหรือจะลงมาแสดงกลางถนนเช่นนี้” น้ำเสียงเล็กใสที่ตอบมาเรียกให้ชายหนุ่มหันไปเห็นหญิงสาวในชุดยูกาตะสีสดใสคนหนึ่ง ที่เสียเวลาอธิบายเขาเพียงแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปใส่ใจกับการตีลังกาสามตลบของเด็กหนุ่มหน้าแป้นแล้นตรงหน้า
“ถ้าเรื่องพวกนี้ล่ะก็ต้องยกให้คุณหนูตระกูลอันโด” ชายสูงวัยหัวเราะให้กับท่าทางถูกอกถูกใจเมื่อตัวเองถูกส่งจูบจากหนุ่มน้อยของสาวรุ่นลูก
“ตระกูลอันโด? ท่านใช่คนของโรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองหรือไม่” หากซึบาสะจำไม่ผิด เขาเพิ่งเห็นว่ามีประกาศว่าที่นั่นต้องการคนอยู่พอดี
“เจ้าของที่แห่งนั้นก็คือพ่อข้าเอง เจ้ามีอะไรเหรอ?” แม้ปากจะเอ่ยถาม แต่สายตาของหญิงสาวกลับไม่มีทีท่าจะสนใจแม้แต่นิด
“ข้าว่าจะไปสมัครงานที่นั่นพอดี”
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอ…อ้อ! ข้าขอตัวก่อนนะ” พอนางเห็นขบวนเคลื่อนไปเรื่อยๆก็รีบหันมาโบกมือลาเขาอย่างขอไปที ก่อนรีบก้าวเท้าตามขบวน
…สงสัยจะชื่นชอบมากจริงๆ… ซึบาสะนึกอยู่ในใจ แต่ก็ทำได้เพียงหาทางหลบคนออกมาเพื่อตามหาจุดหมายต่อไป

เป็นเวลาสองสัปดาห์แล้วที่ซึบาสะเข้ามาทำงานในโรงเตี๊ยมที่วุ่นวายตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนเขาแทบไม่มีเวลาได้ยืดเส้นยืดสาย ถึงห้องพักหลังเลิกงานทีไรเป็นอันต้องสลบไสลทุกครั้งไป นอกจากเจ้าของโรงเตี๊ยมจะใช้งานเขาคุ้มราคาแล้ว ฝั่งผู้เป็นลูกสาวก็เทียวไปเทียวมาระหว่างโรงเตี๊ยมกับศาลเจ้า ในตอนแรกเขานึกว่านางเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่านางไปบนบานสานกล่าวขอให้ได้ไปดูการแสดงคาบุกิที่จะถึงนี้
ในช่วงสายของวันเสาร์ ระหว่างที่เขายกอาหารมาให้ลูกค้า เสียงเจื้อยแจ้วของแม่สาวจอมดังลอยมาตามลมแม้ยังไม่ทันเห็นหน้า ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่านางต้องนำเรื่องปวดหัวมาให้คนในบ้านอีกแน่นอน
“ท่านพ่อ~ ไปกับข้าเถอะน้า~”
“เรื่องอะไรข้าจะไปกับเจ้า! ไร้สาระจริงๆ!” ผู้เป็นพ่อสะบัดชายแขนเสื้อออก ดูไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมเซ้าซี้ของลูกสาวอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ~ ปราสาทจอห์นนี่อุตส่าห์ให้บัตรชมการแสดงข้ามาตั้ง4ใบ หากข้าหาคนไปไม่ครบ ต่อไปเขาต้องไม่ให้ข้าแน่ๆเลย” หญิงสาวยังคงไม่ลดละทำเสียงอ่อนเสียงหวาน คาดหวังความเห็นใจจากชายสูงวัยที่กำลังถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“เจ้าก็ชวนเพื่อนๆของเจ้าไปสิ!”
“ข้าชวนแล้ว แต่นานะจังนางดันมาป่วยพอดีนี่สิ! บัตรเลยเหลือหนึ่งใบไงคะ!” เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อไม่สนใจนางอีก หญิงสาวก็ได้แต่บ่นอุบอิบในลำคอ ขณะที่ซึบาสะส่ายหัวให้กับความดึงดันของนางก่อนจะหันหลังทำท่าจะไปช่วยงานครัว หญิงสาวก็ดูเหมือนจะนึกอะไรดีๆออกในบัดดล
“เจ้าน่ะ! ไปกับข้าที!”
“เอ๊ะ!?” ไม่ทันที่จะตอบปฏิเสธ คุณหนูคนสวยก็กระชากข้อมือเขาเต็มแรงจนชายหนุ่มตกใจเผลอทำถาดตกลงพื้น ส่งผลให้คนทั้งโรงเตี๊ยมรวมถึงเจ้านายของเขาหันมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เดี๋ยว! เจ้าจะพาเขาไปไหน!” เสียงโวยวายไม่สามารถเหนี่ยวรั้งหญิงสาวไว้ได้ ไม่รู้ว่านางไปเอาพลังช้างสารมาจากไหนถึงได้ออกวิ่งนำไปพร้อมกับบีบข้อมือเขาไว้แน่นหนาราวกับคีมหนีบ
ใช้เวลาไม่นาน หญิงสาวก็พาเขามาหยุดที่หางแถวหน้าโรงละครอันเนืองแน่นไปด้วยผู้หญิงหลากหลายช่วงวัยจนเขารู้สึกตัวเองไม่เข้าพวกอย่างรุนแรง
“คุณหนู…ทำแบบนี้ไม่ดีนะ ข้าต้องกลับไปทำงานต่อ” อย่างไรก็ตามจิตสำนึกในฐานะลูกจ้างก็ยังคงอยู่ ขืนทำอย่างนี้ก็ถือว่าเขาผิดต่อเจ้าของโรงเตี๊ยม เบียดเบียนเวลาทำงานนั่นนับว่าใช้ไม่ได้ ซึบาสะตั้งใจจะเดินกลับแต่มีหรืออีกฝ่ายจะยอม
“นี่! เรื่องนั้นข้าจัดการเองน่า” สาวร่างเล็กตีหน้ามุ่ย มือขาวๆเกาะชายแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง “อีกอย่างนะ การแสดงของจอห์นนี่น่ะไม่ใช่ว่าใครที่อยากดูจะได้ดูง่ายๆ เจ้ามีโอกาสแล้วก็ไม่ต้องพูดมาก ตกลงไหม?”
เมื่อลูกสาวนายจ้างยื่นหน้ามาจ้องเขาตาเขม็ง เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้นางทำตามใจตัวเอง
“ตายจริง! เจ้าพาใครมาด้วยน่ะ” สาวร่างสูงที่ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณหนูจอมจุ้นเอ่ยทักก่อนจะสาวเท้าเข้ามาในแถวอย่างรวดเร็ว
“นั่นสิ พ่อหนุ่มคนนี้ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย” หญิงสาวอีกคนที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกันกล่าวสำทับต่อ ชายหนุ่มได้แต่ทำความเคารพให้พวกนางอย่างอ่อนน้อมตามปกติ
“พนักงานใหม่ของพ่อข้าเอง” หญิงสาวต้นเรื่องไม่คิดจะอธิบายให้มากความ ดูท่าว่าใจนางจดจ่ออยู่กับว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าไปในอาคารมากกว่า
“ช่างเถอะๆ! แถวขยับแล้ว รีบเดินกันเร็ว!”

หลังจากที่ชายหนุ่มคนเดียวรับหน้าที่เบ๊จำเป็นในการหิ้วถุงผ้าถึงสามใบซึ่งบรรจุของที่ระลึกการแสดงจนเต็มกระหืดกระหอบมานั่งที่ตัวเองทันเวลา
ม่านโรงละครค่อยๆเปิดขึ้น เผยให้เห็นเงาร่างสันทัดอันสง่างาม เมื่อแสงไฟส่องลงมา ภาพที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตาคือชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตร สีหน้าเย็นชาเรียบเฉยยิ่งให้ความรู้สึกมิใช่คนในโลกียวิสัย
“春の踊りはよーいやさー” พริบตาเดียว ร่างนั้นก็ถูกยกขึ้นด้วยกลไกลึกลับบางอย่าง จังหวะการเคลื่อนไหวพ้นพื้นเวทีท่ามกลางสีสันละลานตานั้นทำให้ซึบาสะอ้าปากค้าง ยามชายผู้นี้หมุนตัวต่างดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง ไม่เพียงเท่านั้น ฉากบนเวทียังยิ่งใหญ่ตระการตาและเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาที่พกความสามารถชวนให้ตกตะลึง ก่อนจะเริ่มองก์สองที่ทาคิซาวะเดินนวยนาดด้วยชุดตัวละครหญิง การแต่งหน้าแต่งตาแบบคาบุกิไม่สามารถซ่อนเครื่องหน้าคมชัดได้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางอ่อนช้อยงดงามนั้นดุจมีมนต์สะกด คล้ายมีหมอกควันบางเบารอบกาย ใครได้มองล้วนเจริญตาเจริญใจ
…ดุจจันทร์กระจ่างท่ามกลางหมู่ดาว ดั่งอาทิตย์ส่องแสงท่ามกลางหมู่เมฆ….
เวลาสามชั่วโมงสำหรับซึบาสะรวดเร็วว่องไวยิ่งนัก
ไม่ทันไรก็จบการแสดง ผู้ชมต่างพากันวางเงินบนเวทีเพื่อมอบให้ชาวคณะแทนความประทับใจที่ได้รับ ไม่เว้นแม้แต่เขาที่เพิ่งมาชมครั้งแรก
“เจ้าให้เงินพวกเขาเยอะเกินไปหรือเปล่า” คุณหนูแสดงสีหน้ากังวลเมื่อเห็นลูกจ้างที่สภาพเหมือนโดนป้ายยา
“พวกเขาตั้งใจแสดงกันเต็มที่ ข้าก็อยากสนับสนุน” ซึบาสะพูดไปมือก็ล้วงเงินที่ใส่ไว้ในแขนเสื้อออกมาวางบนเวทีหลายต่อหลายครั้งราวกับติดตั้งระบบอัตโนมัติ
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีเงินไม่มากนี่นา เจ้าจะสนับสนุนจนหมดตัวเลยหรือไง?!” หญิงสาวเขย่งเท้าไปเอ่ยข้างหูเขาเป็นเชิงเตือนสติ พอได้ยินอย่างนั้น เหมือนว่าตัวเขาจะรู้ตัวขึ้นมาว่าแขนเสื้อที่เคยรับรู้ถึงน้ำหนักอยู่บ้างกลับเบาโหวงจนน่าใจหาย
“อ๊ะ! จริงด้วยสิ ข้าลืมไปเลย!” ซึบาสะจะเอื้อมมือไปคว้าเงินตัวเองกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อกลุ่มเด็กฝึกกวาดเงินทั้งหมดไปต่อหน้าต่อตาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หญิงสาวอดหัวเราะกับท่าทีงุนงงของชายหนุ่มหน้าซื่อไม่ได้
“เจ้าต้องไปฝึกควบคุมสติมาใหม่ ข้าจะบอกให้นะ ผู้ชายพวกนี้มันร้ายนัก” คนตัวเล็กตบบ่าให้กำลังใจ แล้วเดินนำออกจากโรงละครไป ปล่อยให้ชายหนุ่มเหม่อมองเวทีอย่างเลื่อนลอย
…ถ้าเขาได้ไปยืนอยู่บนเวทีอันส่องประกายนั้นคงจะดี…

ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ในที่สุดวันนี้ประกาศสำคัญจากปราสาทจอห์นนี่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเอโดะ คุณหนูคนเดิมเพิ่มเติมคือความเร็วผิดปกติพุ่งเข้ามาที่โต๊ะของบรรดาหนุ่มมีอายุที่กำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่
“นี่พวกท่านได้ยินข่าวหรือยังว่าปราสาทจอห์นนี่จะรับสมัครเด็กฝึกรุ่นใหม่” สายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นเต้นจนเก็บไม่มิด
“ได้ยินแล้วอย่างไรเล่า ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับพวกข้า” หนุ่มใหญ่ทั้งหลายมีท่าทีไม่เข้าใจนางอยู่หลายส่วน
“พวกท่านก็ส่งลูกท่านหลานท่านไปสิ! คนไหนหน้าตาดีมีความสามารถ รับรองข้าจะสนับสนุนเต็มที่เลย!” หญิงสาวเอ่ยลอยหน้าลอยตา ดวงตากลมโตเคลิบเคลิ้มราวกับกำลังฝันหวานอยู่
“ข้าว่าแทนที่เจ้าจะมาสนใจลูกหลานข้า เจ้าหนุ่มคนที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่นั่นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นะ” หนึ่งในวงสนทนาชี้ตัวมายังซึบาสะที่ทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็งอยู่ พอเห็นคุณหนูเข้ามาใกล้เขาจึงรีบหลบตา ด้วยนึกว่านางคงคิดทำอะไรแปลกๆ อีกตามเคย
“อืม…จะว่าไปเจ้าก็ท่าทางไม่เลวนะ ไม่ลองไปดูสักหน่อยเหรอ” หญิงสาวหรี่ตามองเขาจากทางด้านซ้ายด้านขวาสลับไปมา ดูแล้วใช้ความคิดอยู่พอสมควร
“เขาคงไม่รับข้าหรอกขอรับ ข้าขอเป็นเด็กยกอาหารเช่นนี้ต่อไปดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆตามปกตินิสัย คำตอบใสซื่อเรียกเสียงหัวเราะครืนจากกลุ่มลูกค้าซึ่งทำเอาเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูกนอกจากทำหน้าเอ๋อไปตามเรื่อง
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ! เจ้าหนุ่มนี่ตลกเป็นบ้า”
“เจ้าซื่อบื้อเอ๊ย~!” ซึบาสะเกือบหลบกำปั้นของหญิงสาวที่หมายจะทุบเขาสักปึ้กด้วยความหมั่นไส้ไม่ทัน “เจ้าน่าจะเห็นแล้วนี่ แค่เจ้าแสดงรอบสองรอบก็ได้เงินมากกว่าค่าแรงโรงเตี๊ยมข้าทั้งปีเสียอีก”
“แต่ว่า…”
“หรือว่าเจ้าจะก้มหน้าทำงานง่กๆอย่างนี้? พ่อข้าน่ะขี้งกจะตาย คงจะชาติหน้าล่ะมั้งกว่าเจ้าจะขนเงินกลับไปบ้านเกิดได้” คำพูดของนางส่งผลให้เขาหยุดชะงักไป จริงอย่างที่คุณหนูว่า ถ้าเขาทำงานแบบนี้ต่อไปเห็นทีอีกนานทีเดียวกว่าพ่อแม่จะอยู่สบายได้ พอนึกถึงภาพกองเงินจำนวนมากที่เกลื่อนกลาดบนพื้นเวทีในวันนั้นกับการแสดงที่มอบความทรงจำไม่รู้ลืม ในใจก็พลันราวกับมีไฟลุกโชนขึ้นมา หากตั้งใจสู้เพื่อสิ่งนั้นก็คงไม่เกินความสามารถของเขา ความจริงแล้วสิ่งที่เขาทำได้ไม่ได้มีแค่ที่ทำอยู่นี่นา
“เอาเป็นว่าข้าจะส่งใบสมัครไปให้แล้วกัน” หญิงสาวสรุปในทันทีเมื่อเห็นท่าทีอ่อนลงของเขา แล้วไปจัดการกับเอกสารของเขาตลอดเย็น ในขณะเดียวกันชายหนุ่มเองก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่เขาไม่ได้รู้สึกต่อต้านสักนิด แถมยังเริ่มคาดหวังเล็กๆว่าตัวเองจะผ่านเข้าไปอยู่ในปราสาทจอห์นนี่ ที่ซึ่งตัวตนอันจับต้องไม่ได้ผู้หนึ่งได้อยู่ในนั้น…