[FicJE] Samurai Idol ~Edo de Odorou~ サムライアイドル、江戸でおどろう。#1

‘เอโดะ’ ช่างราวกับภาพฝัน…
ชายหนุ่มเจ้าของผมสั้นสีดำสนิทกวาดดวงตาเป็นประกายไปรอบๆ ทั้งฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่ ทั้งร้านรวงมากมายที่ตั้งอยู่เรียงรายตลอดแนว บรรยากาศคึกคักนั้นแตกต่างจากบ้านเกิดของเขาเสียเหลือเกินจนเขาเผลอหยุดยืนนิ่งด้วยความตื่นตะลึงไม่ได้
ตั้งแต่จำความได้ ‘อิมะอิ ซึบาสะ’ ไม่เคยได้เดินทางไกลบ้าน ถ้าไม่เพราะว่าพายุเข้าทำให้เรือกสวนไร่นาที่บ้านเสียหายจนต้องระหกระเหินมาหางานใหม่ หนุ่มบ้านนอกอย่างเขาคงไม่อาจมาเหยียบที่นี่ได้เป็นแน่แท้
“อย่ายืนขวางทางสิพ่อหนุ่ม!”
เสียงตะโกนดังลั่นนั้นทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ รีบเบนตัวหนีรถเข็นที่บรรทุกผักเต็มอัตรา
“อ๊ะ! ขอโทษขอรับ” คนลนลานได้แต่ผงกหัวให้เป็นเชิงสำนึกผิด ระหว่างที่กำลังเดินไปพลางคิดว่าจะเริ่มตามหาสถานที่ที่เขาพอจะทำงานได้ในเอโดะตามที่ได้วางแผนไว้ จู่ๆ เสียงรัวกลองไทโกะดังขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย คล้ายเป็นสัญญาณให้เหล่าเด็กสาวพากันกรูเข้ามาจนชนเข้ากับเขาอย่างจังจนแทบเซล้มลงกับพื้น คนเดินถนนต่างหลีกทางให้กับขบวนแห่บางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ความสวยงามเป็นเอกลักษณ์นั้นอยู่ในขั้นเรียกว่างานเทศกาลขนาดย่อมก็ว่าได้
“พี่ชาย ไม่ทราบว่าเขามีอะไรกันเหรอ” ด้วยความสงสัยทำให้เขาตัดสินใจถามชายที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด คนสูงอายุกว่าพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนลงความเห็นพร้อมใบหน้าครุ่นคิด
“เจ้าคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ อีกไม่กี่วันจะมีการแสดงคาบุกิของนายท่านทาคิซาวะก็เลยมีการแสดงเล็กน้อยเป็นการโฆษณา”
คาบุกิ? คงจะเป็นงานของคนในปราสาทจอห์นนี่…
เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าผู้คนในเอโดะนิยมคณะการแสดงชายล้วนอันโด่งดังนี้อยู่ไม่น้อย หากแต่ไม่คาดคิดว่าแค่แนะนำการแสดงต้องจัดเสียใหญ่โตยิ่งกว่าต้อนรับเจ้าเมือง นายท่านทาคิซาวะคนนี้เป็นใครถือดีมาจากไหนกัน
“แล้วในนี้ใครคือนายท่านทาคิซาวะเหรอ?” ซึบาสะพยายามชะโงกหาคนที่คู่สนทนากล่าวถึงในหมู่เด็กหนุ่มที่กำลังร่ายรำสร้างความสนุกสนานให้ผู้คนทั้งสองข้างทางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“คนพวกนี้ล้วนไม่ใช่เขา ระดับนายท่านผู้สูงศักดิ์มีหรือจะลงมาแสดงกลางถนนเช่นนี้” น้ำเสียงเล็กใสที่ตอบมาเรียกให้ชายหนุ่มหันไปเห็นหญิงสาวในชุดยูกาตะสีสดใสคนหนึ่ง ที่เสียเวลาอธิบายเขาเพียงแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปใส่ใจกับการตีลังกาสามตลบของเด็กหนุ่มหน้าแป้นแล้นตรงหน้า
“ถ้าเรื่องพวกนี้ล่ะก็ต้องยกให้คุณหนูตระกูลอันโด” ชายสูงวัยหัวเราะให้กับท่าทางถูกอกถูกใจเมื่อตัวเองถูกส่งจูบจากหนุ่มน้อยของสาวรุ่นลูก
“ตระกูลอันโด? ท่านใช่คนของโรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองหรือไม่” หากซึบาสะจำไม่ผิด เขาเพิ่งเห็นว่ามีประกาศว่าที่นั่นต้องการคนอยู่พอดี
“เจ้าของที่แห่งนั้นก็คือพ่อข้าเอง เจ้ามีอะไรเหรอ?” แม้ปากจะเอ่ยถาม แต่สายตาของหญิงสาวกลับไม่มีทีท่าจะสนใจแม้แต่นิด
“ข้าว่าจะไปสมัครงานที่นั่นพอดี”
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอ…อ้อ! ข้าขอตัวก่อนนะ” พอนางเห็นขบวนเคลื่อนไปเรื่อยๆก็รีบหันมาโบกมือลาเขาอย่างขอไปที ก่อนรีบก้าวเท้าตามขบวน
…สงสัยจะชื่นชอบมากจริงๆ… ซึบาสะนึกอยู่ในใจ แต่ก็ทำได้เพียงหาทางหลบคนออกมาเพื่อตามหาจุดหมายต่อไป

เป็นเวลาสองสัปดาห์แล้วที่ซึบาสะเข้ามาทำงานในโรงเตี๊ยมที่วุ่นวายตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนเขาแทบไม่มีเวลาได้ยืดเส้นยืดสาย ถึงห้องพักหลังเลิกงานทีไรเป็นอันต้องสลบไสลทุกครั้งไป นอกจากเจ้าของโรงเตี๊ยมจะใช้งานเขาคุ้มราคาแล้ว ฝั่งผู้เป็นลูกสาวก็เทียวไปเทียวมาระหว่างโรงเตี๊ยมกับศาลเจ้า ในตอนแรกเขานึกว่านางเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่านางไปบนบานสานกล่าวขอให้ได้ไปดูการแสดงคาบุกิที่จะถึงนี้
ในช่วงสายของวันเสาร์ ระหว่างที่เขายกอาหารมาให้ลูกค้า เสียงเจื้อยแจ้วของแม่สาวจอมดังลอยมาตามลมแม้ยังไม่ทันเห็นหน้า ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่านางต้องนำเรื่องปวดหัวมาให้คนในบ้านอีกแน่นอน
“ท่านพ่อ~ ไปกับข้าเถอะน้า~”
“เรื่องอะไรข้าจะไปกับเจ้า! ไร้สาระจริงๆ!” ผู้เป็นพ่อสะบัดชายแขนเสื้อออก ดูไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมเซ้าซี้ของลูกสาวอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ~ ปราสาทจอห์นนี่อุตส่าห์ให้บัตรชมการแสดงข้ามาตั้ง4ใบ หากข้าหาคนไปไม่ครบ ต่อไปเขาต้องไม่ให้ข้าแน่ๆเลย” หญิงสาวยังคงไม่ลดละทำเสียงอ่อนเสียงหวาน คาดหวังความเห็นใจจากชายสูงวัยที่กำลังถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“เจ้าก็ชวนเพื่อนๆของเจ้าไปสิ!”
“ข้าชวนแล้ว แต่นานะจังนางดันมาป่วยพอดีนี่สิ! บัตรเลยเหลือหนึ่งใบไงคะ!” เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อไม่สนใจนางอีก หญิงสาวก็ได้แต่บ่นอุบอิบในลำคอ ขณะที่ซึบาสะส่ายหัวให้กับความดึงดันของนางก่อนจะหันหลังทำท่าจะไปช่วยงานครัว หญิงสาวก็ดูเหมือนจะนึกอะไรดีๆออกในบัดดล
“เจ้าน่ะ! ไปกับข้าที!”
“เอ๊ะ!?” ไม่ทันที่จะตอบปฏิเสธ คุณหนูคนสวยก็กระชากข้อมือเขาเต็มแรงจนชายหนุ่มตกใจเผลอทำถาดตกลงพื้น ส่งผลให้คนทั้งโรงเตี๊ยมรวมถึงเจ้านายของเขาหันมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เดี๋ยว! เจ้าจะพาเขาไปไหน!” เสียงโวยวายไม่สามารถเหนี่ยวรั้งหญิงสาวไว้ได้ ไม่รู้ว่านางไปเอาพลังช้างสารมาจากไหนถึงได้ออกวิ่งนำไปพร้อมกับบีบข้อมือเขาไว้แน่นหนาราวกับคีมหนีบ
ใช้เวลาไม่นาน หญิงสาวก็พาเขามาหยุดที่หางแถวหน้าโรงละครอันเนืองแน่นไปด้วยผู้หญิงหลากหลายช่วงวัยจนเขารู้สึกตัวเองไม่เข้าพวกอย่างรุนแรง
“คุณหนู…ทำแบบนี้ไม่ดีนะ ข้าต้องกลับไปทำงานต่อ” อย่างไรก็ตามจิตสำนึกในฐานะลูกจ้างก็ยังคงอยู่ ขืนทำอย่างนี้ก็ถือว่าเขาผิดต่อเจ้าของโรงเตี๊ยม เบียดเบียนเวลาทำงานนั่นนับว่าใช้ไม่ได้ ซึบาสะตั้งใจจะเดินกลับแต่มีหรืออีกฝ่ายจะยอม
“นี่! เรื่องนั้นข้าจัดการเองน่า” สาวร่างเล็กตีหน้ามุ่ย มือขาวๆเกาะชายแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง “อีกอย่างนะ การแสดงของจอห์นนี่น่ะไม่ใช่ว่าใครที่อยากดูจะได้ดูง่ายๆ เจ้ามีโอกาสแล้วก็ไม่ต้องพูดมาก ตกลงไหม?”
เมื่อลูกสาวนายจ้างยื่นหน้ามาจ้องเขาตาเขม็ง เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้นางทำตามใจตัวเอง
“ตายจริง! เจ้าพาใครมาด้วยน่ะ” สาวร่างสูงที่ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณหนูจอมจุ้นเอ่ยทักก่อนจะสาวเท้าเข้ามาในแถวอย่างรวดเร็ว
“นั่นสิ พ่อหนุ่มคนนี้ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย” หญิงสาวอีกคนที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกันกล่าวสำทับต่อ ชายหนุ่มได้แต่ทำความเคารพให้พวกนางอย่างอ่อนน้อมตามปกติ
“พนักงานใหม่ของพ่อข้าเอง” หญิงสาวต้นเรื่องไม่คิดจะอธิบายให้มากความ ดูท่าว่าใจนางจดจ่ออยู่กับว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าไปในอาคารมากกว่า
“ช่างเถอะๆ! แถวขยับแล้ว รีบเดินกันเร็ว!”

หลังจากที่ชายหนุ่มคนเดียวรับหน้าที่เบ๊จำเป็นในการหิ้วถุงผ้าถึงสามใบซึ่งบรรจุของที่ระลึกการแสดงจนเต็มกระหืดกระหอบมานั่งที่ตัวเองทันเวลา
ม่านโรงละครค่อยๆเปิดขึ้น เผยให้เห็นเงาร่างสันทัดอันสง่างาม เมื่อแสงไฟส่องลงมา ภาพที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตาคือชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตร สีหน้าเย็นชาเรียบเฉยยิ่งให้ความรู้สึกมิใช่คนในโลกียวิสัย
“春の踊りはよーいやさー” พริบตาเดียว ร่างนั้นก็ถูกยกขึ้นด้วยกลไกลึกลับบางอย่าง จังหวะการเคลื่อนไหวพ้นพื้นเวทีท่ามกลางสีสันละลานตานั้นทำให้ซึบาสะอ้าปากค้าง ยามชายผู้นี้หมุนตัวต่างดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง ไม่เพียงเท่านั้น ฉากบนเวทียังยิ่งใหญ่ตระการตาและเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาที่พกความสามารถชวนให้ตกตะลึง ก่อนจะเริ่มองก์สองที่ทาคิซาวะเดินนวยนาดด้วยชุดตัวละครหญิง การแต่งหน้าแต่งตาแบบคาบุกิไม่สามารถซ่อนเครื่องหน้าคมชัดได้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางอ่อนช้อยงดงามนั้นดุจมีมนต์สะกด คล้ายมีหมอกควันบางเบารอบกาย ใครได้มองล้วนเจริญตาเจริญใจ
…ดุจจันทร์กระจ่างท่ามกลางหมู่ดาว ดั่งอาทิตย์ส่องแสงท่ามกลางหมู่เมฆ….
เวลาสามชั่วโมงสำหรับซึบาสะรวดเร็วว่องไวยิ่งนัก
ไม่ทันไรก็จบการแสดง ผู้ชมต่างพากันวางเงินบนเวทีเพื่อมอบให้ชาวคณะแทนความประทับใจที่ได้รับ ไม่เว้นแม้แต่เขาที่เพิ่งมาชมครั้งแรก
“เจ้าให้เงินพวกเขาเยอะเกินไปหรือเปล่า” คุณหนูแสดงสีหน้ากังวลเมื่อเห็นลูกจ้างที่สภาพเหมือนโดนป้ายยา
“พวกเขาตั้งใจแสดงกันเต็มที่ ข้าก็อยากสนับสนุน” ซึบาสะพูดไปมือก็ล้วงเงินที่ใส่ไว้ในแขนเสื้อออกมาวางบนเวทีหลายต่อหลายครั้งราวกับติดตั้งระบบอัตโนมัติ
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีเงินไม่มากนี่นา เจ้าจะสนับสนุนจนหมดตัวเลยหรือไง?!” หญิงสาวเขย่งเท้าไปเอ่ยข้างหูเขาเป็นเชิงเตือนสติ พอได้ยินอย่างนั้น เหมือนว่าตัวเขาจะรู้ตัวขึ้นมาว่าแขนเสื้อที่เคยรับรู้ถึงน้ำหนักอยู่บ้างกลับเบาโหวงจนน่าใจหาย
“อ๊ะ! จริงด้วยสิ ข้าลืมไปเลย!” ซึบาสะจะเอื้อมมือไปคว้าเงินตัวเองกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อกลุ่มเด็กฝึกกวาดเงินทั้งหมดไปต่อหน้าต่อตาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หญิงสาวอดหัวเราะกับท่าทีงุนงงของชายหนุ่มหน้าซื่อไม่ได้
“เจ้าต้องไปฝึกควบคุมสติมาใหม่ ข้าจะบอกให้นะ ผู้ชายพวกนี้มันร้ายนัก” คนตัวเล็กตบบ่าให้กำลังใจ แล้วเดินนำออกจากโรงละครไป ปล่อยให้ชายหนุ่มเหม่อมองเวทีอย่างเลื่อนลอย
…ถ้าเขาได้ไปยืนอยู่บนเวทีอันส่องประกายนั้นคงจะดี…

ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ในที่สุดวันนี้ประกาศสำคัญจากปราสาทจอห์นนี่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเอโดะ คุณหนูคนเดิมเพิ่มเติมคือความเร็วผิดปกติพุ่งเข้ามาที่โต๊ะของบรรดาหนุ่มมีอายุที่กำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่
“นี่พวกท่านได้ยินข่าวหรือยังว่าปราสาทจอห์นนี่จะรับสมัครเด็กฝึกรุ่นใหม่” สายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นเต้นจนเก็บไม่มิด
“ได้ยินแล้วอย่างไรเล่า ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับพวกข้า” หนุ่มใหญ่ทั้งหลายมีท่าทีไม่เข้าใจนางอยู่หลายส่วน
“พวกท่านก็ส่งลูกท่านหลานท่านไปสิ! คนไหนหน้าตาดีมีความสามารถ รับรองข้าจะสนับสนุนเต็มที่เลย!” หญิงสาวเอ่ยลอยหน้าลอยตา ดวงตากลมโตเคลิบเคลิ้มราวกับกำลังฝันหวานอยู่
“ข้าว่าแทนที่เจ้าจะมาสนใจลูกหลานข้า เจ้าหนุ่มคนที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่นั่นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นะ” หนึ่งในวงสนทนาชี้ตัวมายังซึบาสะที่ทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็งอยู่ พอเห็นคุณหนูเข้ามาใกล้เขาจึงรีบหลบตา ด้วยนึกว่านางคงคิดทำอะไรแปลกๆ อีกตามเคย
“อืม…จะว่าไปเจ้าก็ท่าทางไม่เลวนะ ไม่ลองไปดูสักหน่อยเหรอ” หญิงสาวหรี่ตามองเขาจากทางด้านซ้ายด้านขวาสลับไปมา ดูแล้วใช้ความคิดอยู่พอสมควร
“เขาคงไม่รับข้าหรอกขอรับ ข้าขอเป็นเด็กยกอาหารเช่นนี้ต่อไปดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆตามปกตินิสัย คำตอบใสซื่อเรียกเสียงหัวเราะครืนจากกลุ่มลูกค้าซึ่งทำเอาเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูกนอกจากทำหน้าเอ๋อไปตามเรื่อง
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ! เจ้าหนุ่มนี่ตลกเป็นบ้า”
“เจ้าซื่อบื้อเอ๊ย~!” ซึบาสะเกือบหลบกำปั้นของหญิงสาวที่หมายจะทุบเขาสักปึ้กด้วยความหมั่นไส้ไม่ทัน “เจ้าน่าจะเห็นแล้วนี่ แค่เจ้าแสดงรอบสองรอบก็ได้เงินมากกว่าค่าแรงโรงเตี๊ยมข้าทั้งปีเสียอีก”
“แต่ว่า…”
“หรือว่าเจ้าจะก้มหน้าทำงานง่กๆอย่างนี้? พ่อข้าน่ะขี้งกจะตาย คงจะชาติหน้าล่ะมั้งกว่าเจ้าจะขนเงินกลับไปบ้านเกิดได้” คำพูดของนางส่งผลให้เขาหยุดชะงักไป จริงอย่างที่คุณหนูว่า ถ้าเขาทำงานแบบนี้ต่อไปเห็นทีอีกนานทีเดียวกว่าพ่อแม่จะอยู่สบายได้ พอนึกถึงภาพกองเงินจำนวนมากที่เกลื่อนกลาดบนพื้นเวทีในวันนั้นกับการแสดงที่มอบความทรงจำไม่รู้ลืม ในใจก็พลันราวกับมีไฟลุกโชนขึ้นมา หากตั้งใจสู้เพื่อสิ่งนั้นก็คงไม่เกินความสามารถของเขา ความจริงแล้วสิ่งที่เขาทำได้ไม่ได้มีแค่ที่ทำอยู่นี่นา
“เอาเป็นว่าข้าจะส่งใบสมัครไปให้แล้วกัน” หญิงสาวสรุปในทันทีเมื่อเห็นท่าทีอ่อนลงของเขา แล้วไปจัดการกับเอกสารของเขาตลอดเย็น ในขณะเดียวกันชายหนุ่มเองก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่เขาไม่ได้รู้สึกต่อต้านสักนิด แถมยังเริ่มคาดหวังเล็กๆว่าตัวเองจะผ่านเข้าไปอยู่ในปราสาทจอห์นนี่ ที่ซึ่งตัวตนอันจับต้องไม่ได้ผู้หนึ่งได้อยู่ในนั้น…

ใส่ความเห็น